เรื่องเล่าแห่งความหวัง
จากความเสี่ยง
สู่การฟื้นคืนความเข้มแข็ง
ส้มมาจากชนเผ่าที่ยากจนทางภาคเหนือของประเทศไทย เมื่ออายุ 11 ปี เธอถูกค้ามนุษย์และถูกบังคับให้เข้าสู่อุตสาหกรรมบริการทางเพศ เธอเป็นพนักงานบริการอยู่ 4 ปี ก่อนที่จะหนีออกมาได้ และตั้งรกรากในที่เดียวที่เธอสามารถหาได้และเรียกว่าบ้าน ห้องเช่าเล็กๆ แห่งหนึ่งในชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร
ส้มทำงานหนักเพื่อมีชีวิตและสร้างครอบครัวด้วยสองเท้าของเธอ แต่ด้วยบาดแผลทางใจในวันวานประกอบกับความยากจนในปัจจุบัน ความรุนแรงในครอบครัว และความไม่มั่นคงที่ห้อมล้อมยังคงดำเนินต่อไปในบ้านของเธอ รวมถึงในชีวิตของลูกของเธอ เพื่อบ้านของเธอเล่าเรื่องของมูลนิธิก้าวหน้าพัฒนาที่ทำงานเพื่อช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัวซึ่งอยู่ในชุมชนที่เธออาศัยอยู่ให้เธอฟัง เธอเข้ามาสมัครเข้าร่วมโครงการรักษ์ครอบครัวของเราและได้รับการคัดเลือกเพื่อเข้าสู่โครงการในปี 2562 (2019)
เรื่องราวของส้มแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เนื่องด้วยเมื่อดูจากปัจจัยร่วมที่คล้ายคลึงกันไม่ว่าจะเป็นบ้านเด็กกำพร้าในบริบทประเทศไทยรวมถึงรอบโลกซึ่งมักใช้โอกาสจากสถานการณ์ของครอบครัวที่คล้ายกับส้มในการหว่านล้อมผู้เป็นแม่ถึงโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าสำหรับลูกจากปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่สถาบันจะจัดหาให้ หากบ้านเด็กกำพร้าเข้าถึงส้มได้ก่อน เธออาจสิ้นหวังและจำต้องสละบุตรของเธอไป
แทนที่จะลงทุนด้านงบประมาณไปกับการดูแลในรูปแบบสถาบันที่พรากเด็กออกจากครอบครัว มูลนิธิก้าวหน้าพัฒนาเชื่อในการเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ใหญ่ที่อาจจะเปราะบางเพื่อที่จะให้เขาสามารถเลี้ยงดูบุตรของตนเองได้ เราเชื่อในการรักษาไว้ซึ่งสถาบันครอบครัว
โครงการรักษ์ครอบครัวครอบคลุมองค์ประกอบทั้งระบบแบบองค์รวม ทั้งในประเด็นสุขภาพและสุขอนามัย การสื่อสารที่ราบรื่นและยืนยาว การคุ้มครองเด็ก ความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ต ความรุนแรงในครอบครัว และอีกมากมาย เราพิถีพิถัน สรรค์สร้างวิธีการทำงานด้วยฐานของงานวิจัยควบคู่ไปกับประสบการณ์จากขวบปีในการทำงานร่วมกับครอบครัวเปราะบางในประเทศไทย
2563/64 ความยากลำบากแพร่สะพัดไปในทุกหนระแหงรอบโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวที่คล้ายกับส้ม โควิด 19 เป็นช่วงเวลาของความสิ้นหวัง ครอบครัวสมาชิกของโครงการรักษ์ครอบครัวส่วนใหญ่ต้องสูญเสีย สูญเสียรายได้ และเสถียรภาพทางการเงินที่ไม่มั่นคง บางครอบครัวต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ส้มและอีกหลายครอบครัวได้รับการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ด้านอุปโภค-บริโภค เช่น ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ อาหารแห้งที่สามารถเก็บรักษาเพื่อใช้ในระยะยาวได้ เป็นต้น ทั้งจากมูลนิธิก้าวหน้าพัฒนาและองค์กรทางสังคมอื่นๆ ทั่วไป ซึ่งการสนับสนุนนี้ช่วยให้เธอสามารถยืนหยัดต่อสู้กับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการที่เมืองต้องปิดตัวลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
แต่แล้ววันหนึ่ง บ้านของส้มถูกงัดและข้าวของที่เธอได้รับจากการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ถูกลักขโมยไป ผู้บุกรุกได้พังประตูบ้านของส้ม และเธอเองไม่มีทุนพอที่จะซ่อมแซมมัน และหากไม่สามารถปิดล็อคได้อย่างดี ไม่เพียงแต่จะไม่มั่นคงแล้ว เธอก็จะไม่ปลอดภัยอีกด้วย ส้มได้แบ่งปันเรื่องราวและความหวาดกลัวที่มีให้กับเจ้าหน้าที่โครงการและอาสาสมัครจากคริสตจักรท้องถิ่นที่เป็นพันธมิตรกับเราที่ทำการลงเยี่ยมเป็นประจำได้ฟัง และหลังจากได้รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาสาสมัครก็ตัดสินใจที่จะมีส่วนช่วยโดยการซื้อประตูบานใหม่ที่มาคู่กับกลอนอย่างดีพร้อมทั้งทำการตั้งตั้งให้เธออีกด้วย ด้วยการซ่อมแซมที่เรียบง่ายนั้นนำมาซึ่งความมั่นคงปลอดภัยที่ดูเหมือนจะเลือนลางให้ได้กลับมาสำหรับส้มและครอบรัวของเธออีกครั้ง
ส้มสำเร็จการร่วมโครงการของเราตามระยะเวลาแล้ว เธอบอกว่ามีความหวังมากกว่าแต่ก่อนเพราะตอนนี้รู้วิธีจัดงบประมาณ การเก็บออม และลดหนี้ของเธอแล้ว ความสัมพันธ์ต่างๆ ดีขึ้น และเธอรู้ถึงวิธีในการที่ปกป้องครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัยได้ เรารู้สึกขอบคุณผู้สนับสนุนด้านงบประมาณของเราเป็นยิ่งที่มีส่วนในการเสริมสร้างครอบครัวของส้มและอีกหลายต่อหลายครอบครัวที่คล้ายกันนี้
คืนสู่อ้อมกอดครอบครัว
มูลนิธิก้าวหน้าพัฒนาได้รับการติดต่อเกี่ยวกับคุณแม่ท่านหนึ่งที่เป็นผู้ลี้ภัยทันทีที่เธอถูกจับกุมและส่งมายังสถานกักกันซึ่งแออัดและขึ้นชื่อในทางที่ไม่ดีในกรุงเทพมหานคร คุณแม่ (เป็นแม่ม่าย) ต้องระเห็จออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของเธอพร้อมลูกทั้งสองจากเหตุการประหัตประหารทางศาสนา และอยู่อย่างหลบๆ ซ่อน หลังจากอยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว ต่อมาพวกเขาได้รับการรับรองสถานะจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)
บางครั้งมีตำรวจเข้าจู่โจมในชุมชนที่ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ด้วยความกลัวที่จะถูกจับกุมขณะรอการเดินทางไปยังประเทศที่สาม ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปี วันที่คุณแม่ท่านถูกจับ ลูกๆ ของเธอถูกทิ้งให้อยู่อย่างหวาดกลัวและอยู่ตามลำพัง เรารู้สึกขอบคุณที่สมาชิกคริสตจักรในท้องที่ในกรุงเทพฯ ที่รับอุปการะเด็กให้อยู่ในการอุปถัมภ์เลี้ยงดูขณะที่คุณแม่ถูกควบคุมตัว ซึ่งตัวคุณแม่เองก็เธอป่วยเป็นโรคหัวใจและประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ทำให้เธอรู้สึกหดหู่จนอยากจะจบชีวิตของตัวเองลง
มูลนิธิก้าวหน้าพัฒนามีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเจ้าหน้าที่ของสถานกักกัน และถึงแม้จะมีข้อจำกัดเรื่องโควิด-19 มูลนิธิก้าวหน้าพัฒนาก็สามารถที่จะดำเนินการให้ลูกๆ ได้พบกับแม่ของพวกเขา และนั่นช่วยให้คุณแม่บรรเทาความกังวลลงไปได้บ้าง
จากนั้นมูลนิธิก้าวหน้าพัฒนาทำการยื่นประกันตัว (ด้วยวงเงิน 50,000 บาท) และเอกสารผ่านการอนุมัติ คุณแม่ได้รับการประกันตัวและได้อยู่พร้อมหน้ากับลูกๆ ของเธออีกครั้ง! ตอนนี้พวกเขาปลอดภัยดีและได้เริ่มตั้งรกรากใหม่ที่ประเทศแคนาดา
นอกจากวงเงินประกัน 50,000 บาท ข้างต้น ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ปลีกย่อยอีกมากสำหรับตัวของคุณแม่ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่า ค่าครองชีพ หรือค่าใช้จ่ายในการบำบัดรักษาเนื่องด้วยประสบการณ์อันเลวร้ายเบื้องหลังที่ยังคงทิ้งไว้ซึ่งบาดแผลทางใจจากการที่เธอต้องถูกผลักไสให้ออกจากบ้านของเธอและต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อน
เรารู้สึกขอบคุณถึงองค์กร Liferaft International ที่เป็นทั้งพันธมิตรและต้นทางของสายธารการให้ที่ยิ่งใหญ่จากทั่วทุกสารทิศ